การฉีดโบท็อกเริ่มมาจากอะไรและทำไมสาว ๆ ถึงนิยมกันมากในปัจจุบัน

ในยุคที่ความรูปร่างหน้าตาและความสวยงามถูกให้ค่า ศัลยกรรมเสริมสวยจึงได้รับความนิยมขึ้นมากจนไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน ล้วนก็มองเห็นแต่ คลินิกและร้านเสริมแต่งความงามเต็มไปหมด และ 1 ใน หลายๆ กรรมวิธีที่เราคุ้นหูเป็นอย่างดี นั้นก็คงหนีไม่พ้นโบท็อกที่เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่ไม่ใครไม่รู้จัก แต่ที่เราคิดว่าเรารู้จักโบท็อกแล้วนั้นจริงๆ แล้ว อาจยังมีอีกหลายข้อที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็ได้

โบท็อกใช้รักษาอะไรได้บ้าง ในช่วงแรกโบท็อกถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาทางตา เช่น ตาเหล่ (Strabismus) หรือหนังตากระตุก (Blepharospasm) แล้วพบว่า ทำให้ริ้วรอยบริเวณที่ฉีดลดลง ปัจจุบันจึงได้ใช้โบท็อกเพื่อประโยชน์ทางด้านการเสริมความงาม และด้านอื่นๆ ได้แก่

  • ใช้รักษาเรื่องริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหว หรือการแสดงอารมณ์ เช่น บริเวณระหว่างคิ้ว, หน้าผาก, หางตา,รอบปาก
  • นำไปใช้ช่วยลดกราม (ลดหน้าเหลี่ยม) ช่วยให้ใบหน้าเรียวขึ้น
  • ใช้ช่วยลดขนาดของเนื้อน่อง ทำให้น่องเรียว
  • ใช้ช่วยลดอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดไมเกรน ปวดหลัง รวมถึงช่วยลดเหงื่อที่ผิวหนัง เช่นบริเวณรักแร้ และฝ่ามือ

นอกจากการฉีดโบท็อกเข้าไปที่กล้ามเนื้อแล้ว ยังมีเทคนิคการฉีดโบท็อกที่เรียกว่า Microbotox  technique เป็นการฉีดโบท็อก เข้าที่ผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังตึงกระชับ ผิวที่หย่อยคล้อยดูยกขึ้น รูขุมขนเล็กลง และลดความมันของใบหน้าด้วย ทั้งนี้ การออกฤทธิ์ของโบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 2-3 วัน ออกฤทธิ์เต็มที่เมื่อประมาณ 7-14  วัน และฤทธิ์ของโบท็อกจะค่อย ๆ สูญสลายไปในระยะเวลา 4-6 เดือน

โบท็อกอันตรายหรือไม่ จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม ทั้งนี้ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดโบท็อกได้แก่

  • บวม แดง ช้ำ เขียว ตรงบริเวณที่ฉีด
  • แพ้เห่อแดง ที่ผิวหนัง
  • หน้าแข็งตึง รู้สึกว่าไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ สาเหตุเกิดจากปริมาณโบท็อกที่ฉีดเข้าไปไม่เหมาะสม
  • หางคิ้วกระดก เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้คิ้วเลิกสูงขึ้น รวมทั้งยังอาจทำให้เกิดรอยย่นขึ้นที่ด้านข้างของคิ้วเพิ่มขึ้นได้ด้วย
  • หนังตาตก เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นเพียงแค่ชั่วคราว

ทั้งนี้ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก หน้าไม่สมมาตรหรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง

เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร ดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาจึงใจเย็นๆ และค่อยๆ รอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้ ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นกรณีไป

เตรียมตัวอย่างไร ก่อนไปฉีด Botox การฉีดโบท็อกก็เปรียบเหมือนการเข้ารับการรักษาโรคอื่นๆ โดยทั่วไป ดังนั้น การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ต้องการรักษาควรรู้ ดังนี้

ก่อนฉีด Botox

  • หยุดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA, สครับหน้า, ขัดหน้า เป็นเวลา 1-2 วันก่อนการฉีดโบท็อก
  • หยุดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินอี น้ำมันปลา จิงโกะ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ
  • งดแอลกอฮอลล์ 24 ชั่วโมง ก่อนการรักษา
  • ถ้ามีประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการรักษา

หลังฉีด Botox

  • อย่านวด กด หรือกระทำอันใดที่จะมีผลต่อบริเวณที่รักษา เช่น สวมหมวก สวมหมวกกันน็อค หรือ นวดหน้า
  • อย่านอนราบหรือก้มหน้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • งดการอยู่ในที่ร้อนเช่น อบซาวน่า ปรุงอาหารหน้าเตาร้อน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • รอยนูนจากการฉีดจะหายไปเองภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง
  • งดเว้นการออกกำลังกายอย่างหนักหรือการเล่นโยคะเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการรักษา
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการรักษา
  • พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ยากระจายตัวเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • สามารถใช้เครื่องสำอางได้หลังการรักษาด้วยความนุ่มนวลหลีกเลี่ยงการกดถู
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดใน 2 สัปดาห์
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

ทั้งนี้แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินการรักษาและข้อสำคัญควรเลือกใช้บริการกับ คลินิกโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และทำการรักษากับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น