ตลาดบ้านเดี่ยวกำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ซื้อ

685bc3a604e3108eeac2e7d43e848e412b95ec531การเลือกซื้อบ้านนั้นผู้ซื้อจะต้องกำหนดความต้องการของตนเองว่ามีบ้านในฝันแบบไหน โดยความหมายของคำว่าบ้านที่อยากได้ อาจจะไม่ใช่บ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินขนาดใหญ่ แต่อาจเป็นบ้านในรูปแบบอื่น เช่น บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ซึ่งในแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการตกแต่งบ้าน ราคา รูปแบบ และเนื้อที่ใช้สอย ซึ่งสิ่งสำคัญในการซื้อบ้าน คือการตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับรายได้และบ้านที่เราต้องการโดยมีหลักเกณฑ์เบิ้องต้นในการตั้งงบประมาณอย่างง่ายๆ คือ งบประมาณที่จะใช้ในการซื้อบ้าน ควรอยู่ที่ 3 เท่าของรายได้ต่อปีของผู้ซื้อ และผู้ซื้อต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยคิดเป็นจำนวนประมาณ 30% ของรายได้ต่อเดือน  ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ผู้ซื้ออาจจะต้องชำระต่อไปในอนาคต

เนื่องจากบ้านเดี่ยวเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยของอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง ส่งผลให้กำลังการซื้อของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ตลาดบ้านเดี่ยวได้รับความสนใจจากผู้ซื้ออยู่ไม่น้อยทีเดียว โครงการจัดสรรต่างหันมาเปิดโครงการบ้านเดี่ยวกันอย่างคึกคัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในการขายด้วยดี เมื่อตลาดบ้านเดี่ยวเปิดกว้างมีสินค้าหลากหลายรูปแบบให้ได้เลือกอย่างมากมาย ผู้ซื้อจึงจำเป็นต้องสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ในการซื้อบ้านเดี่ยวสักหนึ่งหลัง นอกจากเรื่องรูปแบบบ้านถูกใจและราคาที่เหมาะสมกับกำลังทรัพย์แล้ว ยังมีเรื่องที่ผู้ซื้อควรที่จะต้องรู้มากมายในการตัดสินใจซื้อเพื่อให้ได้ บ้านที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

การเลือกบ้านที่เหมาะสมควรเป็นไปตามกำลังความสามารถในการผ่อนชำระ ไม่ควรซื้อบ้านราคาสูงเกินกำลังเพราะแทนที่จะมีชีวิตสุขสบายกับบ้านหลังใหม่ สามารถแบกรับภาระหนี้ในการผ่อนชำระต่อไปในอนาคตอีกนับสิบๆปี เพราะปกติเมื่อเราทำงานได้ตามเกณฑ์ทั่วไปที่ธนาคารกำหนด คือทำงานต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 ปีก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้แล้ว หากซื้อบ้านที่มีราคาสูงเกินความสามารถก็จะกลายเป็นทุกข์เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาผ่อนชำระค่าบ้านจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้น โดยทั่วไปค่าผ่อนบ้านในอัตราที่เหมาะสม คือ 25% ของรายได้ และมากสุดไม่ควรเกิน 35% เพราะจะทำให้ภาระหนี้ตึงมือจนทำให้บ้านหลุดมือไปได้

บทบาทสําคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตภาคอสังหาริมทรัพย์

AQI91D3VWJcity_skyscrapers-wallpaper-1280x800
การหันมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ถือเป็นยากระตุ้นการลงทุนชั้นดี สร้างงาน สร้างเงิน สร้างรายได้ ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจหมุนเวียน สำหรับปัจจัยบวกที่จะมาเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ก็คงมาจากการเร่งรัดโครงการขนส่งมวลชนระบบรางและการตัดถนนสายใหม่ๆในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และภูมิภาค ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม จะได้รับอานิสงส์จากเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เช่น สายสีม่วง สีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายบีทีเอสไปสมุทรปราการ ส่วนเส้นทางของโครงการที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังไม่มีการก่อสร้างจริงจะไม่ส่งผลมากนัก

ขณะนี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัวชัดเจน แต่มีความหวังอยู่บ้างว่ารัฐบาลจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหรือเร่งการลงทุนใช้จ่ายภาครัฐ ถึงแม้ไม่มากแต่จะได้ผลด้านจิตวิทยาการลงทุน สำหรับการเปิดตัวโครงการอสังหาฯครึ่งปีหลังต้องเลือกลงทุนอย่างระมัดระวังทั้งโปรดักต์และทำเล ในแง่โปรดักต์โครงการแนวราบยังปลอดภัยกว่าคอนโดมิเนียม ส่วนต่างจังหวัดคอนโดฯขายช้าลงไม่ควรเพิ่มซัพพลายใหม่ ในกรุงเทพฯและปริมณฑลคอนโดฯยังไปได้แต่ต้องระวังคู่แข่งมาเปิดตัวพร้อมๆกันในทำเลใกล้เคียง แนวโน้มครึ่งปีหลังการลงทุนแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ปลอดภัยกว่า ส่วนคอนโดฯต้องระวังทั้งเซ็กเมนต์และทำเล เพราะดีมานด์มาจาก 2 กลุ่มคือ ซื้ออยู่จริง 60% ซื้อลงทุน-เก็งกำไร 40%

แนวโน้มรูปแบบที่อยู่อาศัยในปีนี้ผู้ประกอบการยังคงเน้นเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ยอดเปิดขายหน่วยคอนโดมิเนียมใหม่แซงหน้าบ้านจัดสรรทุกปีในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัด ยอดเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านจัดสรรมากกว่า สำหรับพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค คาดว่าจะเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก โดยคุณภาพเป็นไปตามระดับราคา ทั้งนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีกำลังซื้อที่ประมาณไม่เกิน 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งหมายถึงตลาดส่วนใหญ่ยังเป็นคอนโดมิเนียมหรือทาวน์เฮาส์ ในปีนี้ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างอาจไม่เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนที่ดินยังคงแพงขึ้น ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยยังคงปรับเพิ่มขึ้นโดยภาพรวม แต่จะปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก เนื่องจากมีอุปทานออกใหม่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น